On the bech
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555
สาวเสียงทรงพลังกับอายุแค่19 ร้องสดๆ Adele คะ
http://www.youtube.com/watch?v=LuXoLwPj9_A&feature=related
Haley Reinhart - You and I - American idol กับเวทีประกวดร้องเพลงระดับโลก สาวคนนี้เสียงมีเสน่ห์มากเลยคะ
http://www.youtube.com/watch?v=LJjvCpno_jY&feature=related
ซิ้งเกิ้ลใหม่พร้อมมิวสิควีดีโอใหม่ จาก เจ้าแม่ อาร์ แอนด์ บี ลีเดีย
http://www.youtube.com/watch?v=FxiJdCo3c5U
เทคนิค การเปล่งเสียงร้องเพลงให้ไพเราะอย่างนักร้องอาชีพ
เครื่องดนตรีใน ตัวมนุษย์
เมื่อลมหายใจออก ผ่านกล่องเสียงที่อยู่บริเวณลำคอ จะทำให้สายเสียงสั่น
เกิดเสียงในระดับ ต่างๆขึ้น ยิ่งเมื่อได้โพรงในลำคอและจมูกช่วยการสะท้อนเสียงด้วยแล้ว
เส
ียง จะยิ่งมีกังวานมากขึ้น
เสียงสูงๆต่ำๆ ที่เปล่งออกมาอย่างได้จังหวะนี้
จัดเป็นเครื่องดนตรีวิเศษสุดชิ้นหนึ่ง ที่มนุษย์สามารถบรรเลงได้โดยตัวเอง
เสียงที่เปล่งออกมาได้อย่างแจ่มใส ตรงโน้ต มีกังวานชวนฟังนั้น
ย่อมมาจากลมหายใจในช่องท้องจำนวนพอเหมาะที่จะทำให้ เสียงสั่นในความถี่ที่ต้องการ
ในทางตรงข้ามถ้าลมไม่พอ เสียงที่ออกมาจะไม่สดใส บางทีอาจเพี้ยนไป
การหายใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงเป็นผู้ให้ชีวิตเท่านั้น
แต่ยังเป็นขุมพลังมหาศาลแก่เครื่อง ดนตรีวิเศษชิ้นนี้อีกด้วย
การหายใจแบ่งอย่างคร่าวๆ ได้เป็น 2 ช่วง
ช่วงแรก หายใจก่อนร้องเพลง เอาลมไปเก็บไว้ในช่องท้องและปอด
เพื่อเป็นแรงสำคัญในการร้อง วรรคแรกของเพลงให้จับใจผู้ฟัง
ขณะร้องเพลงไปก็ผ่อนลมหายใจออกมาจนลมที่ เก็บไว้หมดไปทุกที
ทำให้ต้องหายใจเอาลมครั้งใหม่เข้าไปอีก
อีก ประการหนึ่งแม้ว่าลมจะยังไม่หมดแต่เราคงกลั้นลมหายใจนานๆไม่ได้
เพราะใน ช่วงนี้ร่างกายขาดออกซิเจน
การหายใจขณะร้องเพลงจึงเป็นเรื่องหนีไม่พ้น
จัดเป็น การหายใจที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องกระทำกัน
การฝึกการหายใจ
แบ่งได้เป็น 3 จังหวะ
จังหวะที่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้า ให้ตรงดิ่งไปที่ช่องท้องก่อน
แล้วค่อยขยายขึ้นสู่ปอด อกและหลังจะขยายกว้างขึ้น
จังหวะที่สอง เป็นการอัดลมในช่องท้องโดยการเกร็งกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง
หรือโดยใช้การ บังคับของกล้ามเนื้อกระบังลมเพื่อให้เกิดความดันเพียงพอให้สายเสียงสั่นได้
นอก จากนี้ยังทำให้กระบังลมขยายตัวสูงขึ้นพลอยให้โพรงในลำคอกว้างขึ้น
ยิ่ง เมื่อได้ริมฝีปากช่วยจะยิ่งได้เสียงที่ออกมาจากคอโดยตรงและมีกังวานใส
เพราะ มีการสะท้อนในลำคอช่วยอีกแรงหนึ่ง
จังหวะที่สาม เป็นการผ่อนลมหายใจ (ถ้าเป็นในขณะร้องเพลง จังหวะนี้จะเป็นจังหวะที่เสียงออกมา)
ต้องควบคุม ด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม อย่างสม่ำเสมอ ให้ลมออกมากน้อย
ตามความดังค่อย ของเสียงที่ต้องการ ต้องคอยระวังไม้ปล่อยมากเกินไป
มิฉะนั้นจะทำให้ลม หมดเสียก่อน หรือไม่ก็มีเหลือน้อยเกินกว่าจะสามารถประคองเสียงอยู่ได้จนจบประโยค
ปัญหาที่มักพบกัน
ก็คือปัญหาลมมาอัดอยู่ในคอจนเกิดอาการเกร็งร้องไม่ออก
วิธีแก้ คือ ให้หมุนคอไปมา ลมจะออกมาบ้าง ช่วยให้สบายขึ้น
การฝึกฝน
การหายใจทั้ง 3 จังหวะนี้ ควรทำเป็นประจำทุกวัน
โดยเริ่มทำช้าๆ ก่อน แล้วค่อยเร็วขึ้น อาจรู้สึกหน้ามืด เป็นเพราะมีเลือดฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองมากเกินไป
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ให้พักเสีย การฝึกหายใจอย่างสม่ำเสมอ เท่ากับเป็นการบริหารอย่างหนึ่ง
ช่วย ให้กล้ามเนื้อกระบังลมแข็งแรงและมีพลังในการร้องเพลง
เราควรเลือกหายใจตรงไหนดี
บางคนเลือกหายใจทุกระยะที่รู้สึกติด ขัด คือลมหมดเมื่อไรก็หายใจเมื่อนั้น
วิธีนี้เสี่ยงหน่อย ถ้าหยุดไม่ถูกที่ อาจทำให้เพลงขาดหายไปเฉยๆ
ผู้ฟังหมดอารมณ์ต่อเนื่องไป อย่างน่าเสียดาย
บางคนเลือกหายใจเอาที่ระยะหมดประโยคในเพลงซึ่งพอจะแก้ไข ข้อเสียของรายแรกได้
แต่ก็ไม่วายมีข้อติ คือ ถ้าผู้ร้องผ่อนลมหายใจตอนแรกมากเกินไป
พอถึงตอนท้ายประโยคลมจะไม่พอ ทำเสียงเพี้ยนหรือเสียงแกว่ง หรือขาดหายไป ทำให้ไม่เพราะ
นักร้องที่ฉลาด
จะหาจุดหายใจในเพลงของตัวก่อนอย่าง อื่น และซักซ้อมไว้ให้ดีจนคนฟังจับไม่ได้ บางท่านหยุดหายใจพวกคำตายต่างๆที่ต้องลงท้ายด้วยแม่ กก กด กบ
เพราะสระ พวกนี้มีเสียงสั้นไม่ต้องเอื้อน
อีกที่หนึ่ง ได้แก่บริเวณท้ายประโยคแต่ละตอนของเพลง
เราอาจหยุดหายใจสั้นๆก่อนตัวสุด ท้าย เพื่อจะได้มีพลังไว้ยืดโน้ตตัวสุดท้ายนั้น
ทำให้เสียงฟังนุ่มนวล ขึ้น
การฝึกหายใจ
เป็นหลักสำคัญ ในการร้องเพลง เพราะ
ลมที่ได้จากการหายใจแต่ละครั้ง หมายถึง ชีวิตและพลัง
ควรที่ผู้สนใจทางด้านนี้จะฝึกฝนไว้จนเกิดความเคยชิน
นอกจากนี้การร้องเพลงให้ได้ดี ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นอีกมาก
เช่น สำเนียงร้องที่ชัด การใช้ปากกับการออกเสียง อารมณ์
ตลอดจนการทำเสียงให้ไพเราะโดยอาศัยการ เคลื่อนไหวของกราม การทำเสียงรัว ฯลฯ เป็นต้น
หูของตัวจะเป็นครูที่ดีบอกให้รู้ว่า เสียงที่ออกมานั้น มีคุณภาพแค่ไหน
หรือถ้าใครอยากให้คนอื่นช่วยฟังก็คง จะดียิ่งขึ้น
แต่แม้จะเตรียม ลูกเล่นไว้มากมาย ถ้าไม่หายใจเตรียมพลังเสียอย่าง ลูกเล่นก็หมดความหมาย
จาก จขกท. : สำหรับเรา วิธที่ดีที่สุดคือ "การร้องเพลงออกมาจากใจ"
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเสียงอันไพเราะของตัวเองนะคะ
BY::http://board.postjung.com/520093.html
ฟังเพลง Cover กันคะเสียงแอบคล้าย ต้นฉบับ
http://www.youtube.com/watch?v=F_n7uNZAL94&feature=g-all-u&context=G22ac2a7FAAAAAAAAZAA
หนุ่มน้อยคนนี้ เเชมป์ระดับโลก กับเพลงที่เป็นตำนาน Wonderful Tonight
http://www.youtube.com/watch?v=leAy6yzelm0&feature=related
การออกเสียงสระและพยัญชนะ
การออกเสียงสระและพยัญชนะ
ในการร้องเพลง ความไพเราะของเพลงแต่ละเพลงนั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่นักร้องมีเสียงที่ไพเราะเพียงอย่างเดียว
เพราะการร้องเพลงถือเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อ
ความหมายไปยังผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วยได้
เนื้อเพลงก็นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอด
ความหมายของบทเพลง ดังนั้นการที่นักร้องจะสามารถสื่อ
ความหมายของบทเพลงไปยังผู้ฟังได้
จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักความหมายของเนื้อเพลงเป็นอย่างดี
ทั้งควรจะเป็นผู้ที่สามารถสื่อคำได้อย่างชัดเจนถูกต้อง
การออกเสียงสระ
การให้ความสำคัญในการออกเสียงสระในคำ จะทำให้เกิดความชัดเจน
ในคำ การทำความรู้จักกับสระ จะทำให้เราสามารถที่จะเลือกวิธีการ
ออกเสียงได้ เพื่อเน้นให้คำนั้นยาว หรือสั้น โดยที่ไม่ผิดความหมาย
และเกิดความไพเราะ เช่น คำว่า "มา" เป็นคำที่เกิดจากพยัญชนะ
ม. ม้า และสระ อา ดังนั้นเมื่อเราต้องการลากเสียงให้ยาว เราจะต้องลาก
เสียงที่สระ "อา" หรือ คำว่า "เดียว" เกิดจากพยัญชนะ ด. เด็ก และ
สระ อี+อา+อู หากต้องการลากเสียง คำว่าเดียวให้ยาว
เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะลากอย่างไรให้เกิดความไพเราะ อาจเป็น
"ด+อี+อา..........+อู" ก็ได้ หรืออาจเป็น "ด+อี............+อา+อู" หรือ "ด+อี.......
+อา....+อู" แต่ไม่ควรเป็น "ด+อี+อา+อู...................." เพราะการที่เราเลือก
ที่จะลากสระตัวสุดท้ายตัวเดียว โดยไม่ได้ใส่ใจกับสระในคำที่มีถึง 3 ตัว
นั่นย่อมหมายถึงการไม่ใส่ใจรายละเอียดของบทเพลง
เพราะคำหนึ่งพยางค์ที่มีสระให้เลือกใช้มากกว่า 1 ตัว
ย่อมต้องการให้เราใช้สระในคำให้มากที่สุด
การวิเคราะห์การออกเสียงสระ
นอกจากจะได้คำที่ชัดเจนแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราสามารถ
"สร้างภาพ" ในขณะร้องเพลงได้อีกด้วย
เพราะคำบางคำเราสามารถยิ้มไปด้วย ในขณะร้องได้ เพื่อให้ดูสวยงาม
และสอดคล้องกับความหมายของบทเพลง ในขณะที่ขับร้อง
เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าควรจะอ้าปากแค่ไหน เพื่อให้ได้เสียงสระ
ที่ชัดเจนและรูปปากดูสวยงาม ดังนั้นจึงขอแทนค่าการใช้ริมฝีปาก
และขากรรไกรในขณะเปล่งเสียงด้วยตัวเลข 1-4 ซึ่ง 4
หมายถึงการใช้อวัยวะส่วนนั้นๆอย่างเต็มที่
และลดลงเรื่อยๆตามค่าของตัวเลข เช่น ริมฝีปาก = 4
หมายถึง การเปิดริมฝีปากให้กว้าง โดยการยิ้มแบบยกมุมปาก
ให้เห็นโหนกแก้ม, ขากรรไกร = 4 หมายถึง การเปิดขากรรไกร
ให้กว้างโดยการอ้าปากมากๆ
ตารางแสดงการทำงานของริมฝีปากและขากรรไกร
สระ ริมฝีปาก ขากรรไกร
อี 4 1
เอ 4 2
แอ 4 3
อา 4 4
ออ 3 4
โอ 2 4
อู 1 4
การออกเสียงพยัญชนะ
ถ้าเปรียบสระเหมือนเนื้อหนังพยัญชนะก็เปรียบเหมือนกระดูก
หมายถึงสิ่งที่ต้องอยู่คู่กัน ความสำคัญของการใช้สระและ
พยัญชนะเป็นสิ่งที่เท่าเทียมกัน ในหลักการออกเสียงนั้น
หากเราเน้นพยัญชนะมากเกินไป อาจทำให้คำที่พูดออกมา
เกิดความกระด้าง เสียงขึ้นจมูก
หรือลงคอ อาทิ "น" "ม" "ง" "ต" เป็นพยัญชนะที่เป็นนาสิกโทน
หรือเสียงขึ้นจมูก ซึ่งไม่ควรออกเสียงเน้นที่พยัญชนะนั้น
เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เสียงที่ได้ออกมาเป็นเสียง
ขึ้นจมูก ในเพลงสากลการออกเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญ
และยากมาก เพราะมีลักษณะการใช้งานไม่เหมือนภาษาไทย
มีการใช้อวัยวะส่วนปาก ฟัน ลิ้น ผิดจากพยัญชนะในภาษาไทย
เช่น "V" คำว่า "van" คนไทยหลายคนอ่านว่า "แวน"
แต่คำว่า Volk (รถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง) คนไทยกลับอ่านว่า "โฟล์ค"
เลยไม่รู้ว่าควรอ่านตัว "V" โดยใช้พยัญชนะตัวไหน
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพยัญชนะตัว "V" เวลาออกเสียงเป็นภาษาไทย
ต้องออกเป็นตัว "ฟ+ว" ควบกล้ำกัน เป็นต้น
เทคนิคการร้องเพลงร้องเพลงมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากมาย
ซึ่งถ้าเราเรียนรู้องค์ประกอบต่างๆแล้ว ก็สามารถที่จะนำมาใช้
ในบทเพลงได้ การที่จะร้องเพลงสักเพลงหนึ่ง การควรที่จะ
ศึกษาบทเพลงนั้นๆ ด้วยความละเอียดอ่อน อาจจะร้องทีละวรรค
พิจารณา ความหมาย, ทำนอง, จังหวะ รวมไปถึงอารมณ์
ของบทเพลง การฝึกซ้อมกัยบทเพลงจริงๆนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็น
อย่างมาก เพราะถือเป็นการนำสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้
จากทฤษฎี มาฝึกปฏิบัตให้เกิดความเคยชิน
สามารถนำเทคนิคต่างๆ มาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ครอบคลุมไปถึง ความถูกต้องในการใช้สระและพยัญชนะ
ในภาษา การควบคุมลมหายใจ การสร้างพลังในการขับร้อง
การควบคุมระดับความสูงต่ำของเสียงไม่ให้เพี้ยน
คุณภาพของเนื้อเสียง ความหนัก-เบา ในการใช้น้ำเสียง
ขั้นตอนในการต่อเพลง
1. อ่านเนื้อเพลงทั้งหมดก่อน และทำความเข้าใจกับความหมาย
ของเนื้อร้องโดยละเอียด ว่ามีอารมณ์อย่างไร เศร้า สุข สนุกสนาน
ซึ่งการอ่านเนื้อเพลง จะทำให้เราสามารถเลือกใช้น้ำเสียง
tone เสียงให้เหมาะกับบทเพลงได้
2. ฟังทำนองของบทเพลง เพื่อให้เกิดความเคยชิน และสามารถรับรู้ได้
ถึงความหนักเบาของบทเพลง ในแต่ละท่อนได้ เพื่อให้เราสามารถ
เลือกใช้ และกำหนดความหนัก-เบา (Dynamic) ของน้ำเสียงได้
3. หา Form ของเพลงในแต่ละเพลงว่ามีลักษณะอย่างไร
มี Intro,Solo,Ending กี่ห้อง มีการจัดวางท่อนของบทเพลงอย่างไร
เพลงที่จะร้องเป็นคีย์ใด มีระดับเสียงสูงหรือต่ำเหมาะสมกับเสียง
ของเราหรือไม่
4. ซ้อม-เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นในการร้องเพลง อาทิ
การหายใจ น้ำเสียง เพื่อที่จะนำมาใช้จริงในบทเพลง
เพื่อให้ได้การฝึกซ้อมอย่างมีประสิทธิภาพการขับร้องเพื่อ
ให้ได้เสียงที่มีคุณภาพ การขับร้องให้ได้เสียงที่มีคุณภาพนั้น
หมายถึง การขับร้องให้ได้เสียงที่ชัดเจน ทั้งระดับเสียงที่คงที่
ไม่แกว่ง ระดับความสูงต่ำของโน้ตที่ถูกต้องตามเมโลดี้
การควบคุมจังหวะในการร้องเพลง ความหมายที่ถ่ายทอดออกมา
ฯลฯ การสร้างเสียงให้ได้คุณภาพนั้นเราสามารถทำได้โดย
เน้นให้เสียงแต่ละเสียงที่ถูกเปล่งออกมาเป็นไปตามขั้นตอนดังนี้
4.1.ขณะที่เราร้องเพลง ควรรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้น
ให้ความรู้สึกที่พุ่งออกไปข้างหน้า (Projection)
และมีจุดรวมกันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนบริเวณใบหน้า
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย (Registration)
แล้วแต่ Tone ของเสียงที่เราจะเปล่งออกมา
Registration ของเสียงจะเปลี่ยนไปตาม Tone
ของเสียงนั้นๆ แต่ควรระวังไม่ให้ Registration
ของเสียงไปตกอยู่ที่ลำคอหรือจมูก เพราะจะทำให้เกิด
อาการเกร็งไปโดยอัตโนมัติ ทำให้เสียงที่ได้เกิดความกระด้าง
ไม่น่าฟัง
4.2. ควรยืนให้ลำตัวตรง (Hold body) หลังตรง ยืดอก ไหล่ผาย
หน้าตรง ไม่เกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง เพื่อให้ปอด กระบังลม
ลำคอ ปาก ลิ้น ขากรรไกร ทำงานได้อย่างสะดวก ปกติ
และเต็มประสิทธิภาพ และนอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมให้เรา
เป็นนักร้องที่มีบุคลิกภาพที่ดีอีกด้วย
4.3.คิดถึงบรรยากาศ สร้างจินตนาการ (Imagination)
ตามความหมายของเนื้อเพลงเพื่อให้เสียงที่เปล่งออกมา
สามารถสื่ออารมณ์ได้อย่างมีชีวิตชีวา
4.4 ถ่ายทอดอารมณ์ตามบทเพลง เพลงแต่ละเพลง
จะแสดงออกถึงความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงต่างกัน
ผู้ขับร้องจึงควรถ่ายทอดอารมณ์จากบทเพลงให้ถูกต้อง
ตามความหมายของบทเพลงแต่ละเพลง เพลงรักก็ต้องร้อง
ให้อยู่ในอารมณ์รัก สามารถใช้น้ำเสียงสื่อถึงความหมาย
และอารมณ์ของบทเพลง ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกคล้อยตามได้
ดังนั้นก่อนที่นักร้องจะเริ่มทำการขับร้อง จึงควรศึกษาความหมาย
ของบทเพลง ให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง เพื่อที่จะสามารถขับร้อง
ออกมา ได้ตามความหมายของบทเพลง
BY:::http://music.pwa.co.th/st/index.php?option=com_content&view=article&id=112:2008-08-24-07-50-09&catid=59:2008-08-24-06-58-05&Itemid=83
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
