On the bech

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

การใช้ไมโครโฟน

คุณเคยสังเกตไหมครับว่าคุณถือไมโครโฟนอย่างไร ทดสอบไมโครโฟน ว่าเปิดหรือยัง ใช้ได้รึเปล่าด้วยวิธีไหน หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมบอกได้เลยว่าไม่เล็กอย่างที่คิดหรอกนะครับ 4 เรื่องที่คุณควรเลิก ทำระหว่างการใช้ไมโครโฟน 1. หากคุณทดสอบไมโครโฟนด้วยการบรรจงเคาะลงที่หัวไมค์สัก 2-3 ที เพื่อความมั่นใจว่ามันใช้งานได้ จงเลิกซะ เพราะการกระทำเช่นนั้นถือเป็นการ ผิดมารยาทมากสำหรับการเป็นนักร้อง เพราะมันอาจจะทำให้ตัวรับสัญญานเสียง ของไมโครโฟนเสียได้ นอกจากนั้นยังทำให้เกิดเสียงดัง "ปุ๊กๆๆๆ" เป็นที่ น่ารำคาญแก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ๆเครื่องขยายเสียง 2. หากคุณถือไมโครโฟนอยู่ใกล้หรือไกลปากจนเกินไป จงเปลี่ยนซะ คุณควรถือไมโครโฟนโดยให้ระยะห่างจากปากประมาณ 2-3 นิ้วมือ เพราะนั่นคือระยะที่ไมโครโฟนที่มีคุณภาพปานกลางขึ้นไป จะสามารถ รับเสียงได้ดีที่สุด ให้เสียงที่ดังพอประมาณ ได้เนื้อเสียงที่ใกล้ความเป็นจริง มากที่สุด หากถือไมค์ใกล้ปากจนเกินไป อาจทำให้เสียงที่ได้ออกมามีลักษณะ ทุ้มและดังจนเกินไป อีกทั้งน้ำลายของคุณที่กระเด็นออกไปแปะที่ไมโครโฟน อาจทำให้เกิดความชื้นและเกิดเชื้อราที่ฟองน้ำที่ถูกบุอยู่ภายในหัวไมโครโฟน ทำให้ไมโครโฟนเสียได้ง่าย หรือถ้าไม่เสียคนที่ร้องต่อจากคุณคงเหม็นน่าดู หากถือไมค์ไกลปากจนเกินไปอาจทำให้เสียงที่ได้เบาและบางจนเกิดเหตุ 3. หากคุณถือไมโครโฟนแล้วยกท่อนล่างของมันขึ้นมาสูงๆ จงลดมันลงมา ให้อยู่ในระดับเฉียงลงประมาณ 45 องศา เพราะคุณรู้มั๊ยว่าการยกท่องล่างของ ไมโครโฟนขึ้นมาสูงๆ นอกจากมันจะไม่เท่ห์แล้ว มันยังบังหน้าตาอันสวยงาม หรือหล่อเหลาของคุณอีกด้วย คงไม่มีใครอยากฟังเสียงอันไพเราะของคุณไป มองไมโครโฟนไปเป็นแน่ 4. หากคุณเป็นคนที่ชอบดึงสายไมโครโฟนมาพันๆๆๆๆๆ แล้วก็พันไว้ที่มือ ของคุณเมื่อยามคุณเขินล่ะก็ จงปล่อยสายซะ เพราะเมื่อเวลาที่คุณยืนอยู่บนเวทีนั้น สายตาทุกคู่กำลังจ้องมองคุณอย่างสนใจ หูของเค้ากำลังรอฟังเสียงอันไพเราะจากคุณ แต่ถ้าเผอิญเค้าเหลือบไปเห็นมือของคุณอีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือไมค์ กำลังหยิบสาย ไมโครโฟนมาพันเล่นอย่างสนุกสนาน ขยำๆๆๆ แล้วก็พันๆๆๆ คุณลองคิดดูสิว่า หลังจากนั้นสายตาทุกคู่จะมองไปที่ไหน..... หากคุณรู้ตัวว่าสาเหตุที่คุณทำเช่นนั้น เป็นเพราะคุณเขินจนไม่รู้จะทำอะไรกับมือข้างที่เหลือนั้น จงปล่อยมันไว้นิ่งๆ รอจังหวะคำร้องที่สามารถสื่อความหมายด้วยภาษาร่างกายได้ แล้วจงทำซะ เช่น ยื่นมือ-ผายมือออกไป เมื่อร้องคำว่า "เธอ" ดึงมือกลับมาทำท่ากำไว้ที่หน้าอก เมื่อร้องคำว่า "หัวใจ" ฯลฯ สารพัดวิธีที่คุณจะใช้มัน หลังจากที่คุณทำท่าทางตามนั้น แล้ว มันยังมีประโยชน์ตามมาอีกมากมาย เช่น คุณสามารถสื่อความหมายของบทเพลง ได้เพิ่มอีก 1 ทาง ด้วยภาษาร่างกาย, ลดความประหม่า ฯลฯ จากนั้นเมื่อคุณจะเดินไป ยังจุดต่างๆบนเวที คุณสามารถใช้มือจับที่สายไมค์แล้วรูดมันไปอย่างช้าๆ นิ่มนวลที่สุด แล้วจับมันหลบไปให้พ้นทางเดินของคุณ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถที่จะเดินได้อย่าง http://music.pwa.co.th/st/index.php?option=com_content&view=article&id=134:2008-09-24-14-32-09&catid=59:2008-08-24-06-58-05&Itemid=83 สง่าผ่าเผย มือของคุณจะไม่ว่างพอที่จะพันสายไมโครโฟนเล่นอีกต่อไป

ชอบเป็นพิเศษ คะ เพลงนี้เลยเอามาให้ฟัง

Credit by: http://www.youtube.com/watch?v=DtXr0pIRSg4

การร้อง.Beat Box

http://www.youtube.com/watch?v=inkxV9L_NGo&feature=g-all-lik&context=G2c06944FAAAAAAAADAA

สิ่งที่นักร้องควรทราบ

สิ่งที่นักร้องควรทราบ 1.คุณมี Range เสียงกว้างขนาดไหน หมายถึง คุณควรทราบว่าเสียงของคุณ มีระดับความกว้างของเสียงมากแค่ไหน ระดับความกว้างของเสียง ในที่นี้ หมายถึงระดับเสียงตั้งแต่ต่ำที่สุด จนไปถึงสูงที่สุดของคุณนั้น อยู่ในระดับ เสียงจากโน้ตตัวไหนไปถึงตัวไหน เพื่อที่คุณจะสามารถทราบได้ว่าเสียง คุณอยู่ในระดับมาตรฐานทั่วๆไปหรือไม่ โดยปกตินั้น เท่าที่ผมได้มีโอกาส ทดสอบนักเรียนที่ผมเคยสอนทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่า เพศชายนั้น ค่าเฉลี่ยระดับความกว้าง (Range) ของเสียง จากต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุด จะอยู่ระหว่างโน้ตตัว Chest Tone E (โน้ตตัว "มี" ที่ต่ำกว่า C กลาง) <----------->Middle C Mouth Tone Middle C <---------->C------->G (โน้ตตัว "ซอล" ที่สูงกว่า C กลาง 1 Octave) Head ToneG(โน้ตตัว "ซอล" ที่สูงกว่า C กลาง 1 Octave) <-------------------->C---->G เพศหญิงนั้น ค่าเฉลี่ยระดับความกว้าง (Range) ของเสียง จากต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุด จะอยู่ระหว่างโน้ตตัว Chest ToneE (โน้ตตัว "มี" ที่ต่ำกว่า C กลาง) <----------->Middle C Mouth Tone Middle C(โน้ตตัว C กลาง) <---------->C (โน้ตตัว "โด" ที่สูงกว่า C กลาง 1 Octave) Head Tone C (โน้ตตัว "โด" ที่สูงกว่า C กลาง 1 Octave) <-------------------->C---->G จากหัวข้อนี้ทำให้เห็นว่าการรู้ทฤษฎีโน้ตพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่เราจะได้ สามารถตรวจสอบระดับเสียงของเราด้วยตัวเองได้ เมื่อตรวจสอบแล้ว หลานคนคงอยากถามว่า ได้อะไรจากการตรวจสอบระดับเสียงของตัวเอง นอกจากแค่ทำให้เราทราบระดับความสามารถของตัวเองแล้วนั้น การทราบระดับเสียงของตัวเอง ทำให้เราสามารถทราบได้ว่า เพลงลักษณะ ไหนเหมาะกับเรา นักร้องคนใดที่มีระดับเสียงใกล้เคียงเรา ทำให้เรา สามารถเลือกเพลงที่จะร้องได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังสามารถสื่อสาร กับนักดนตรีได้ว่า เสียงเราอยู่ในระดับใด ฯลฯ 2. คุณใช้ระดับความดังของเสียงได้เหมาะสมหรือไม่ นักร้องบางคน ไม่เคยสนใจระดับความดังของเสียง ที่ตัวเองร้องออกไปเลยแม้แต่น้อย ทำให้เพลงที่ร้องออกมาไม่มีคุณภาพ การร้องเพลงโดยคำนึงถึง ความดัง-เบา ของเสียงอย่างเหมาะสม (Dynamic) ทำให้บทเพลงที่ร้องออกมาเกิดความไพเราะขึ้นได้ เพราะว่า เมื่อเราร้องโดยมีการจัดระดับความดัง หรือเบา ของน้ำเสียง ในแต่ละเพลงอย่างเหมาะสม ตามความหมายของคำร้อง และตามท่วงทำนองของดนตรีนั้น จะทำให้บทเพลงที่ขับร้องออกมา มีความหนัก-เบา ของอารมณ์ มีลักษณะคล้ายคลื่น ที่ต้องมีขึ้นมีลงเสมอ ทำให้เพลงไม่ดูจืดชืด แข็งกระด้างเป็นเส้นตรงที่ไร้ความรู้สึก 3. คุณใช้ระดับความสูง-ต่ำของเสียงได้เหมาะสมหรือไม่ การร้องเพลงโดยรู้จัก การเล่นระดับความสูง-ต่ำของเสียงอย่างเหมาะสมนั้น จะทำให้บทเพลง ที่เราขับร้อง มีเสน่ห์ การใช้น้ำเสียงให้เหมาะสมกับความหมายของบทเพลง เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการวิเคราะห์ความหมายของบทเพลง จึงนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้นักร้องสามารถถ่ายทอดอารมณ์ผ่านบทเพลง ไปยังผู้ฟังได้ เมื่อวิเคราะห์ความหมายอย่างละเอียด เราจะทราบว่าคำร้องแต่ละคำ มีความหมายที่แตกต่างกัน การดึงเอาระดับเสียงที่สูงหรือต่ำ มาใช้อย่างเหมาะสม จะทำให้บทเพลงอันทรงคุณค่าทั้งหลาย เพิ่มคุณค่ามากยิ่งขึ้นด้วยน้ำเสียงของเรา

การประกวด รายการหนึ่ง สังเกตุการใช้เสียงคะ

http://www.youtube.com/watch?v=aYQDgDpyt8s&feature=fvst

วิธีการดูแลเส้นเสียง

วิธีการดูแลรักษาเสียง 1. การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสียงของเรามีคุณภาพ ในแต่ละวัน ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง 2. ไม่ดื่มสุรา/ของมึนเมา การดื่มสุราจะทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้นเสียง เกิดการขยายตัว ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้น เสียงแตกได้ 3. ไม่ควรสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติดใดๆ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้สารนิโคติน มาเคลือบบริเวณช่องคอ ทำให้เกิดการระคายคอได้ 4. ควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือเล็กน้อย จะช่วยให้ รู้สึกชุ่มคอ 5. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมก่อนการร้องเพลง เพราะน้ำนมจะไปเคลือบ เป็นเมือกบริเวช่องคอ ทำให้เกิดอาการระคายคอ 6. ในกรณีที่เป็นหวัดและเกิดอาการ "ไอ" หรือมีอาการเกี่ยวกับการอักเสบ ในช่องคอ ไม่ควรใช้เสียงมาก ควรหลีกเลี่ยงการไอเพราะ "การไอ" จะทำให้เส้นเสียงบีบตัวเพื่อกั้นลม ก่อนที่จะสะบัดและกระทบกัน อย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการระคายคอได้ง่าย หากรู้สึกระคายคอจน เลี่ยงไม่ได้ควรใช้การกระแอมช่วย ควรหยุดการใช้เสียงถ้าเป็นไปได้ เพราะการใช้เสียงมากๆ ขณะเกิดการอักเสบในช่องคอ อาจทำให้เกิด ตุ่มบริเวณเส้นเสียง ส่งผลให้เสียงของเราเปลี่ยนไปอย่างถาวร หรืออาจเกิดมะเร็งในบริเวณเส้นเสียงได้ 7. เมื่อมีเสมหะอยู่ในลำคอ ไม่ควรขากแรงๆ เพราะจะทำให้เส้นเสียงเกิดการ บีบตัวและสะบัดมากระทบกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้เกิดการ ระคายคอมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้เสมหะเหลวและหลุดจากช่องคอได้ง่าย 8. หากเกิดความรู้สึกระคายเคืองในบริเวณช่องคอ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เส้นเสียงเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น 9. ยาอมชนิดต่างๆที่ช่วยลดอาการระคายคอ อาจเป็นสาเหตุให้ช่องคออักเสบ มากยิ่งขึ้นได้ เพราะการอมยาอมชนิดต่างๆ ที่ช่วยลดอาการระคายคอ จะทำให้ช่องคอรู้สึกโล่ง สบาย บางยี่ห้ออาจทำให้รู้สึกชา ทำให้เรารู้สึกว่า สบายขึ้น ดีขึ้น ซึ่งหากเราใช้เสียงในขณะนั้น จะทำให้เส้นเสียงยิ่งเกิดการ อักเสบมากยิ่งขึ้น เพราะช่องคอที่ชา ไม่ระคายเคือง ทำให้เราไม่สามารถ ทราบได้ว่าที่จริงแล้วช่องคอของเราอักเสบเพียงใด ดังนั้น เมื่ออมหรือทานยา ที่ช่วยลดอาการระคายคอ จึงควรระลึกไว้อยู่เสมอว่าควรลดการใช้เสียง ตามไปด้วย http://music.pwa.co.th/st/index.php?option=com_content&view=article&id=108:2008-08-24-07-03-17&catid=59:2008-08-24-06-58-05&Itemid=83

เสียง

เสียง เครื่องดนตรีประจำตัวที่มนุษย์ทุกคนต้องมีติดตัว เพราะอวัยวะในการเปล่งเสียง เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่โดยธรรมชาติ การร้องเพลงก็เหมือนกับการเล่นดนตรี เสียงของคนเราก็เปรียบเสมือนกับเครื่องดนตรี การเล่นดนตรีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะ ต้องมีการ ฝึกฝนพื้นฐาน วิธีเล่น เทคนิคการเล่นต่างๆ การที่จะเป็นนักร้องที่ดีได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาฝึกฝนมากพอสมควร ประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกฝนนั้น จะเป็นบันไดที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะนำไปประกอบ อาชีพการร้องเพลงเป็นนักร้องในวงการบันเทิง หรือนักร้องประกวด เสียงของคนเราเกิดจากอะไร เสียงของคนเราเกิดจากอวัยวะส่วนลำคอ ซึ่งส่วนลำคอของมนุษย์นั้น ประกอบด้วย หลอดเสียง หรือกล่องเสียง (Larynx) ซึ่งอยู่ที่ลำคอบริเวณที่เราเรียกว่าลูกกระเดือก (Adam's apple) อยู่เหนือท่อหลอดลม (Trachea) และใต้ท่อช่องคอ (Pharynx) กล่องเสียงประกอบด้วยกระดูกอ่อนหลายชิ้น ซึ่งยึดติดกันได้ด้วยกล้ามเนื้อ, เอ็นสายเล็กๆ และพังผืด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล่องเสียง ภายในกล่องเสียงจะมีช่องว่างเล็กๆที่เรียกว่า Laryngeal Cavity ซึ่งจะมีแผ่นเนื้อเยื่อ บางๆ 2 เส้นยื่นออกมาเหมือนปีก 2 ข้างของหลอดลม ความยาวประมาณครึ่งนิ้ว ขึงจากหน้าไปหลังซึ่งเรียกว่า เส้นเสียง (Vocal Cord) ซึ่งมีความยืดหยุ่น สามารถปรับ ให้หย่อน ตึง หรือเปลี่ยนรูปได้ เสียงเกิดจากการหายใจ โดยจะต้องหายใจโดยผ่านทั้งทางจมูกและปากพร้อมกัน ทั้ง 2 ทาง โดยหายใจผ่านทางจมูกประมาณ 20 % และผ่านทางปาก ประมาณ 80 % เพราะการหายใจทางปากนั้น สามารกเก็บลมได้มากกว่าและเร็วกว่าการหายใจทางจมูก เพียงทางเดียว อากาศที่หายใจเข้าไปจะเข้าสู่ปอด กระบังลมจะยืดตัว ดันอวัยวะภายใน ช่องท้องให้ลงต่ำ เพื่อที่จะได้เก็บลมไว้ได้มากๆ เมื่อเราหายใจออก กระบังลมจะต้อน อากาศเหล่านี้ผ่านทางช่องจมูกหรือปาก ซึ่งในขณะที่แรงลมถูกปล่อยออกมาจากปอด ผ่านหลอดลมและเชื่อมต่อไปยังบริเวณเส้นเสียงนั้น เส้นเสียงจะถูกแรงลมดันให้เกิด การสั่นสะเทือน จนทำให้เกิดเป็นคลื่นเสียงสูงๆต่ำๆ ขึ้นมา จากนั้นเสียงจะถูกปรับแต่ง เป็นคำพูดหรือเสียงร้อง และเกิดความก้องกังวาน โดยอวัยวะต่างๆภายในช่องปาก เช่นเพดานเหงือก ลิ้น ฟัน ริมฝีปาก รวมไปถึงโพรงในช่องปากและจมูกด้วย เส้นเสียงของคนเราหากจะเปรียบเปรย ก็ไม่ต่างจากไวโอลินสักเท่าไหร่ เพราะไวโอลินจำเป็นต้องมีคันชักสำหรับสี เพื่อให้เกิดเสียง เส้นเสียงของคนเรา ก็จำเป็นที่จะต้องมีลมหายใจ มาสั่นสะเทือนเพื่อให้เกิดเสียงเช่นเดียวกัน ส่วนช่องคอ, กล่องเสียง ,ช่องปาก,ทรวงอก และศรีษะ ก็เปรียบได้เสมือนกับ ตัวไวโอลินที่มีหน้าที่ ทำให้เสียงที่ได้นั้นเกิดความก้องกังวาน นอกจากการหายใจ การใช้กล่องเสียงและ เส้นเสียงแล้ว ยังมีอวัยวะต่างๆที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการร้องเพลง อีกมายมาย เช่น ลิ้น ริมฝีปาก เพดานปาก ขากรรไกร และฟัน ก็เป็นส่วนประกอบในการทำให้ คำร้องเกิดความชัดเจน การเป็นนักร้องนั้น นอกจากจะต้องรู้จักวิธีการผลิตเสียงออกมา ให้ได้คุณภาพแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงคำร้อง และมีความสามารถ ที่จะถ่ายทอดคำร้องในบทเพลงนั้นๆผ่านน้ำเสียงและท่าทางการแสดงออก ได้อีกด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดเสียงพูดและเสียงร้องที่ดีได้แก่ 1. อวัยวะในระบบต่างๆของร่างกาย มีการทำงานที่ประสานและสมดุลย์กัน 2. ระบบประสาทต่างๆทำงานกันด้วยความสัมพันธ์ 3. ต่อมไร้ท่อและฮอร์โมนมีความสมดุลย์ 4. สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ รวมถึงกล่องเสียงและเส้นเสียง 5. ภาวะอารมณ์และจิตใจเป็นปกติ 6. มีพฤติกรรมการใช้เสียงที่ถูกต้อง 7.สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เสียงพูดปกติของคนเราจะมีความแตกต่างกันตามเพศและวัย โดยจะมีค่าประมาณคร่าวๆ คือ ชาย 128 Hz หญิง 225 Hz เด็ก 265 Hz http://music.pwa.co.th/st/index.php?option=com_content&view=article&id=109:2008-08-24-07-20-38&catid=59:2008-08-24-06-58-05&Itemid=83

Part of Me - Katy Perry (cover) Megan Nicole

http://www.youtube.com/watch?v=DLkgrhdX2iE&feature=g-all-u&context=G245864aFAAAAAAAAHAA